การปราบปรามคดีฉ้อโกง 3 โครงการของรัฐ

ในช่วงระหว่างเตรียมพร้อมก่อนเริ่มโครงการ คนละครึ่งเฟส 5 ซึ่งขั้นตอนขณะนี้มีการลงทะเบียนการยืนยันสิทธิทั้งในส่วนของ “ผู้ใช้บริการ” และ “ผู้ให้บริการ” ประกอบกับเป็นช่วงการใช้สิทธิโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งขณะนี้ยังมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง หากย้อนไปดูในช่วงที่ผ่านมาพบว่า มีการทำผิดเงื่อนไขโครงการ ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมาย โดยข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานการดำเนินคดีอาญาระหว่างวันที่ 1 ก.ย. 2564 – 1 เม.ย 2565 มีการดำเนินคดีรวมทั้งสิ้น 639 คดี โดยแบ่งเป็น 3 โครงการ 
1.    โครงการเราเที่ยวด้วยกัน 529 คดี
2.    โครงการคนละครึ่ง 106 คดี 
3.    โครงการเราชนะ 4 คดี
   ส่วนใหญ่เป็นข้อหาฐานความผิดเกี่ยวกับฉ้อโกง รวมกันฉ้อโกง ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ฉ้อโกงประชาชน และฉ้อโกงโดยนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ความคืบหน้าในการดำเนินคดี 
•    คดีที่อยู่ระหว่างการสอบสวน 541 คดี 
•    สอบสวนเสร็จส่งพนักงานอัยการแล้ว 55 คดี  
•    และส่วนอื่น ๆ อีก 43 คดี เช่น ชดใช้ค่าเสียหายก่อนร้องทุกข์ และถอนคำร้องทุกข์

 ภายหลังจากที่ ครม. ได้มีมติโครงการคนละครึ่งเฟส 5 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ เกิดการลงทุน  ลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้กับประชาชนในสถานการณ์ที่ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น โดยรัฐจะช่วย 50% ไม่เกินวันละ 150 บาท หรือสูงสุดไม่เกิน 800 บาท ตลอดโครงการ 

  ซึ่งมีการเปิดให้ลงทะเบียนร้านค้าวันแรกเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2565ที่ผ่านมา ช่องทางเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com และในวันที่ 19 ส.ค. 2565 จะเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการโดยยืนยันสิทธิเปิดแอป “เป๋าตัง” และสำหรับใครที่ไม่เคยลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 4 สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านแอป “เป๋าตัง” หรือผ่านเว็บไซต์  www.คนละครึ่ง.com

ที่ผ่านมาทางภาครัฐได้มีการปราบปรามอย่างหนักสำหรับร้านค้าที่เข้าข่ายการทุจริตโครงการคนละครึ่ง ซึ่งร้านค้ากลุ่มนี้จะถูกระงับสิทธิแอปพลิเคชันถุงเงินชั่วคราว จนกว่าจะดำเนินการตรวจสอบสิทธิแล้วเสร็จ และจะไม่ได้รับเงินที่ได้จากการขายผ่านโครงการ แต่หากภายหลังตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ได้กระทำความผิด กระทรวงการคลังก็จะคืนเงินให้กับร้านค้า

เช่นเดียวกับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่มีการเปิดโครงการอยู่ขณะนี้ เป็นโครงการช่วยเหลือทั้งประชาชนและเจ้าของกิจการที่พัก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา เพื่อให้เจ้าของกิจการยังมีรายได้เพื่อให้กิจการไม่ขาดทุนและต้องปิดตัวลง ในสถานการณ์ที่โควิด-19 แพร่ระบาด แต่ยังมีคนบางกลุ่มที่มีการทุจริต อาทิ เปิดให้จองห้องพัก  แต่ไม่มีการเข้าพักจริง / นําคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพัก ไปสแกนใช้จ่ายกับร้านค้า แต่ไม่มีการซื้อสินค้า / บางโรงแรมมีที่ตั้งจริงและลงทะเบียนถูกต้อง แต่ยังไม่เปิดให้บริการ กลับมีการเปิดให้จองห้องพัก / และตั้งราคาจองห้องพักแพงเกินจริง หวังกินส่วนต่างราคาส่วนลด พฤติการณ์ลักษณะดังกล่าวถือเป็นความผิด พร้อมขอแจ้งเตือนผู้ประกอบการโรงแรม รวมถึงร้านค้าที่ร่วมโครงการดังกล่าว  ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขกฎระเบียบตามโครงการ ซึ่งหากมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมายจะต้องถูกดำเนินคดี และเป็นความผิดอาญาที่มีอัตราโทษ  คือ ร่วมกันฉ้อโกง อีกด้วย 
 


image รูปภาพ
image

Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar